สรรพคุณของต้นกรรณิการ์

สวัสดีค่ะ
จะแนะนำเกี่ยวกับต้นที่มีชื่อว่า ต้นกรรณิการ์  นั่นเองค่ะ ต้นมีความสูงประมาณ3-4เมตร ตามลำดับต้นจะมีรอยเป็นเส้นคาดรอยต้นเป็นช่วงๆ ไปตามข้อต้น เปลือกของลำต้นนั่นมีสีขาว ลักษณะของงลำต้นและกิ่งก้านโดยเฉพาะส่วนที่เป็นแขนกและกิ่งอ่อนจะเป็นสี่เหลี่ยม บริเวณแนวสันเหลี่ยมของกิ่งหรือลำต้นมีตุ่มเล็กๆประเป็นแนวอยู่  ฝากเข้ามาอ่านกันได้นะค่ะ ขอบคุณค่ะ 




ต้นกรรณิการ์ มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในตอนกลางของประเทศอินเดีย เข้าใจว่าเข้ามาในไทยในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือในสมัยตอนต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ และมีการสันนิษฐานว่าชื่อ “กรรณิการ์” นั้นมาจากคำว่า “กรรณิกา” ซึ่งมีความหมายว่า ช่อฟ้า กลีบบัว ดอกไม้ ตุ้มหู และเครื่องประดับหู ซึ่งหากสังเกตจากรูปทรงของดอกกรรณิการ์แล้วก็จะเห็นว่าเหมาะจะใช้เป็นเครื่องประดับหูได้ดี เพราะมีหลอดที่ใช้สอดในรูที่เจาะใส่ต้มหูได้นั่นเอง โดยจัดเป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ มีเรือนยอดเป็นรูปทรงพีระมิดแคบ มีความสูงของต้นประมาณ 3-5 เมตร เปลือกของลำต้นมีลักษณะขรุขระและเป็นสีน้ำตาล กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยมสี่เหลี่ยม และมีขนแข็งสากมือ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง หรือการปักชำกิ่งเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดี มีความชื้นปานกลาง แสงแดดแบบเต็มวันและครึ่งวัน หากปลูกในที่แห้งแล้งจะออกดอกน้อย โดยจะออกดอกในช่วงประมาณเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน แต่สามารถออกดอกได้ตลอดปีหากมีฝน หรือได้รับการตัดแต่งและมีการให้น้ำอย่างเหมาะสม


ใบกรรณิการ์ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ มีความกว้างประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ส่วนขอบใบเรียบหรือบางใบจะหยักแบบห่าง ๆ กัน และตามขอบใบอาจมีขนแข็ง ๆ หลังใบมีขนแข็งสากมือ ส่วนท้องใบมีขนแข็งสั้น ๆ มีเส้นแขนงของใบข้างละ 3-4 เส้น ปลายเส้นจรดกันก่อนถึงขอบใบ และมีก้านใบสั้น ยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร




ดอกกรรณิการ์ ออกดอกเป็นช่อ ออกตามซอกใบหรือง่ามใบ ก้านช่อดอกยาวประมาณ 1.2-2 เซนติเมตร มีใบประดับรูปคล้ายใบเล็ก ๆ อยู่ 1 คู่ที่ก้านช่อดอก ในแต่ละช่อดอกจะมีดอกอยู่ประมาณ 3-7 ดอก ดอกเป็นดอกย่อยสีขาวและมีกลิ่นหอม ดอกจะบานในช่วงเย็นและจะร่วงในช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น ไม่มีก้านดอก ในแต่ละดอกจะมีใบประดับอยู่ 1 ใบ ดอกตูมมีกลีบดอกเรียงซ้อนกันและบิดเป็นเกลียว กลีบมีประมาณ 5-8 กลีบ ปลายกลีบเว้า ส่วนโคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดสีแสดสั้น ๆ ยาวประมาณ 1.1-1.3 เซนติเมตรด้านในมีขนยาว ๆ สีขาวที่โคนหลอด ส่วนด้านนอกเกลี้ยง ที่ปลายหลอดแยกเป็นกลีบสีเขียว หรือที่เรียกว่ากลีบดอก ประมาณ 5-8 กลีบ ในแต่ละกลีบจะมีความยาวประมาณ 0.1-1.1 เซนติเมตร โคนกลีบแคบ ปลายกลีบกว้างและเว้าลึก ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวน 2 ก้านติดอยู่ภายในหลอด กลีบดอกบริเวณปากหันด้านหน้าเข้าหากัน มีก้านชูอับเรณูเชื่อมติดเป็นเนื้อเดียวกันกับหลอดดอก ส่วนรังไข่จะอยู่เหนือวงกลีบ มีลักษณะกลม มีอยู่ 2 ช่อง และมีออวุลช่องละ 1 เม็ด ส่วนเกสรเพศเมียจะมีแค่ 1 อัน ยอดเกสรเพศเมียมีลักษณะเป็นตุ่มมีขน และยังมีกลีบเลี้ยงดอกสีเขียวอ่อนอยู่ 4 กลีบ ติดกันเป็นหลอดรูปกรวยปลายติดหรือหยักตื้น ๆ 5 หยัก ด้านในเกลี้ยง ส่วนด้านนอกมีขน



ผลกรรณิการ์ ผลมีลักษณะเป็นรูปไข่กลับหรือมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมค่อนข้างแบน ปลายผลเป็นมนและมีติ่งแหลม ผลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร ผิวผลเรียบ ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลเมื่อแก่จะแตกอ้าออกเป็น 2 ซีก ข้างในผลมีเมล็ดซีกละหนึ่งเมล็ด เมล็ดมีลักษณะกลมแบนและเป็นสีน้ำตาล

สกุลกรรณิการ์ มีสมาชิกอยู่เพียง 2 ชนิด ซึ่งมีเขตการกระจายพันธุ์ในอินเดีย สุมาตรา ชวา และในประเทศไทย โดยในไทยจะพบได้ทั้ง 2 ชนิด ซึ่งชนิดแรกก็คือ กรรณิการ์ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nyctanthes arbor–tristis L. (ชนิดนี้นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ และเป็นชนิดที่กล่าวถึงในบทความนี้ครับ) ส่วนอีกชนิดคือ กรรณิการ์ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nyctanthes aculeata Craib (ในปัจจุบันชนิดนี้ได้สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยแล้ว)

สรรพคุณของกรรณิการ์

  1. รากมีรสขมฝาด ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ (ราก)
  2. รากใช้เป็นยาแก้วาโยกำเริบเพื่ออากาศธาตุ (ราก)
  3. ดอกช่วยบำรุงหัวใจ (ดอก)
  4. รากใช้เป็นยาบำรุงกำลัง (ราก)
  5. ใช้เป็นยาแก้อาการอ่อนเพลีย (ราก)
  6. ใช้เป็นยาแก้โลหิตตีขึ้น (ดอก)
  7. ใบมีรสขม ช่วยทำให้เจริญอาหาร ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 1 กำมือ เติมน้ำคั้นลงไปแล้วคั้นเอาแต่น้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใช้แบ่งรับประทาน 4 ครั้ง ถ้ากินมากจะมีฤทธิ์เป็นยาระบาย (ใบ)
  8. ใบใช้เป็นยาแก้ตานขโมย (ใบ)
  9. ช่วยบำรุงเส้นผม แก้เส้นผมหงอก ด้วยการใช้ใบนำไปแช่กับน้ำมันมะพร้าวประมาณ 1-2 คืน ก็จะได้น้ำมันที่มีสีเหลืองอ่อน ๆ สำหรับนำมาใช้ทาหมักผมก่อนนอน จะช่วยป้องกันไม่ให้ผมหงอกก่อนวัยได้ (ใบ)[1],[2],[4],[6] ส่วนข้อมูลจากหนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย ระบุว่าส่วนที่นำมาใช้เป็นยาแก้ผมหงอกคือส่วนของราก (ราก)
  10. ช่วยบำรุงผิวหนังให้สดชื่น (ราก)
  11. เปลือกมีรสขมเย็น ใช้เปลือกชั้นในนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการปวดศีรษะ ส่วนต้นก็มีสรรพคุณแก้ปวดศีรษะเช่นกัน (ต้น, เปลือก)
  12. ดอกมีรสขม ช่วยแก้ลมวิงเวียน (ดอก)
  13. ใช้เป็นยาแก้ลมและดี (ราก)
  14. ต้นมีรสหวานเย็นฝาดใช้เป็นยาแก้ไข้ ส่วนใบและดอกก็มีสรรพคุณแก้ไข้เช่นกัน (ต้น, ใบ, ดอก)
  15. ใบช่วยแก้ไข้เพื่อดีและแก้ไข้จับสั่นชนิดจับวันเว้นวัน (ใบ)
  16. ดอกใช้เป็นยาแก้ไข้มิรู้สติ เป็นไข้บาดทะจิต แก้ไข้ผอมเหลือง (ดอก)
  17. รากช่วยแก้อาการไอ (ราก)
  18. แพทย์ชนบทในสมัยก่อนจะใช้ต้นและรากกรรณิการ์ นำมาต้มหรือฝนรับประทานเป็นยาแก้อาการไอสำหรับสตรีหลังคลอดบุตรใหม่ ๆ (ต้น, ราก)
  19. ใช้เป็นยาแก้ตาแดง (ดอก)
  20. ใช้เป็นยาแก้อาการปวดท้อง (ใบ)
  21. ใช้เป็นยาแก้อาการท้องผูก (ราก)
  22. ใบใช้เป็นยาระบาย (ใบ)[6],[9]
  23. ใช้เป็นยาแก้อุจจาระเป็นพรรดึก (ราก)
  24. ในอินเดียใช้ใบเป็นยาขับพยาธิ (ใบ)
  25. ในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ใช้ดอกเป็นยาขับประจำเดือน (ดอก)
  26. ใบใช้เป็นยาบำรุงน้ำดี ขับน้ำดี (ใบ)
  27. ต้นและใบใช้เป็นยาแก้อาการปวดตามข้อ (ต้น, ใบ)
  28. ดอกใช้เป็นยาแก้พิษทั้งปวง (ดอก)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สรรพคุณรางแดง

สรรพคุณทุ้งฟ้า

สรรพคุณตรีชวา